วันพุธที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

งานประเพณีสารทเดือนสิบ จังหวัดนครศรีธรรมราช

งานประเพณีสารทเดือนสิบ จังหวัดนครศรีธรรมราช

ประเพณีสารทเดือนสิบ

ประเพณีสารทเดือนสิบ เป็นงานบุญประเพณีของคนภาคใต้ ของประเทศไทย โดยเฉพาะชาวนครศรีธรรมราช ที่ได้รับอิทธิพลด้านความเชื่อซึ่งมาจากทาง ศาสนาพราหมณ์ โดยมีการผสมผสานกับความเชื่อทางพระพุทธศาสนา ซึ่งเข้ามาในภายหลัง โดยมีจุดมุ่งหมายสำคัญเพื่อเป็นการอุทิศส่วนกุศลให้แก่ดวงวิญญาณของบรรพชนและญาติที่ล่วงลับ ซึ่งได้รับการปล่อยตัวมาจากนรกที่ตนต้องจองจำอยู่เนื่องจากผลกรรมที่ตนได้เคยทำไว้ตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ โดยจะเริ่มปล่อยตัวจากนรกในทุกวันแรม 1 ค่ำเดือน 10 เพื่อมายังโลกมนุษย์โดยมีจุดประสงค์ในการมาขอส่วนบุญจากลูกหลานญาติพี่น้อง ที่ได้เตรียมการอุทิศไว้ให้เป็นการแสดงความกตัญญูกตเวทีต่อผู้ล่วงลับ หลังจากนั้นก็จะกลับไปยังนรก ในวันแรม 15 ค่ำ เดือน 10

               ช่วงระยะเวลาในการประกอบพิธีกรรมของประเพณีสารทเดือนสิบจะมีขึ้นในวันแรม 1 ค่ำถึงแรม 15 ค่ำเดือนสิบของทุกปีแต่สำหรับวันที่ชาวใต้มักจะ นิยมทำบุญกันมากคือวันแรม 13-15ค่ำ ประเพณีวันสารทเดือนสิบโดยในส่วนใหญ่แล้วจะตรงกับเดือนกันยายน

ขบวนแห่หฺมฺรับ

เรื่องของ หฺมฺรับ (หมะหรับ)


               เมื่อถึงวันแรม 14 ค่ำเดือนสิบ ซึ่งเรียกกันว่า วันหลองหฺมฺรับแต่ละครอบครัวหรือวงศ์ตระกูลจะร่วมกันนำข้าวของเครื่องใช้ต่าง ๆ มาจัดเป็นหฺมฺรับ (หมะหรับ) สำหรับการจัดหฺมฺรับนั้นไม่มีรูปแบบที่แน่นอน จะจัดเป็นรูปแบบใดก็ได้ แต่ลำดับการจัดของลงหฺมฺรับจะเหมือน ๆ กัน คือ เริ่มต้นจะนำกระบุง กระจาด ถาด หรือกะละมัง มาเป็นภาชนะ แล้วรองก้นด้วยข้าวสาร ตามด้วยหอม กระเทียม พริก เกลือ กะปิ น้ำตาล และเครื่องปรุงอาหารที่จำเป็นอื่น ๆ ต่อไปก็ใส่ของจำพวกอาหารแห้ง เช่น ปลาเค็ม เนื้อเค็ม และผักผลไม้ที่เก็บไว้ได้นาน ๆ เช่น ฟักเขียว ฟักทอง มะพร้าว ขมิ้น มัน ลางสาด เงาะ ลองกอง กล้วย อ้อย ข้าวโพด ข่า ตะไคร้ ฯลฯ จากนั้นก็ใส่ของใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น ไต้ น้ำมันมะพร้าว น้ำมันก๊าด ไม้ขีด หม้อ กระทะ ถ้วยชาม เข็ม ด้าย และเครื่ององเชี่ยนหมาก สุดท้ายก็ใส่สิ่งที่เป็นหัวใจสำคัญของการจัดหฺมฺรับ คือ ขนม 5 อย่าง ( บางท่านบอกว่า 6 อย่าง ) ซึ่งขนมแต่ละอย่างล้วนมีความหมายในตัวเอง คือ ขนมพอง เป็นสัญลักษณ์แทนแพสำหรับผู้ล่วงลับใช้ล่องข้ามห้วงมหรรณพ ขนมลา แทนเครื่องนุ่งห่มแพรพรรณ ขนมกง หรือ ขนมไข่ปลา แทนเครื่องประดับ ขนมดีซำ แทนเงินเบี้ยสำหรับใช้สอย ขนมบ้า แทนสะบ้าใช้เล่น ในกรณีที่มีขนม 6 อย่าง ก็จะมีขนมลาลอยมัน ซึ่งใช้แทนฟูกหมอน เข้าไปด้วย 3) การยกหฺมฺรับ ในวันแรม 15 ค่ำ เดือนสิบ ซึ่งเป็นวันยกหมฺรับ ต่างก็จะนำหมฺรับพร้อมภัตตาหารไปวัด โดยแต่ละคนจะแต่งตัวอย่างสะอาดและสวยงาม เพราะถือเป็นการทำบุญครั้งสำคัญ วัดที่ไปมักจะเป็นวัดใกล้บ้านหรือวัดที่ตนศรัทธา การยกหมฺรับไปวัดอาจต่างครอบครัวต่างไปหรืออาจจัดเป็นขบวนแห่ ทั้งนี้เพื่อต้องการความสนุกสนานรื่นเริงด้วย วัดบางแห่งอาจจะจัดให้มีการประกวดหฺมฺรับในส่วนของจังหวัดนครศรีธรรมราชนั้น ได้จัดให้มีขบวนแห่หมฺรับอย่างยิ่งใหญ่ตระการตาในงานเดือนสิบทุก ๆปี โดยมีองค์กรทั้งภาครัฐและองค์กรเอกชนต่างส่งหฺมฺรับของตนเข้าร่วมขบวนแห่และร่วมการประกวด ซึ่งในช่วงเทศกาลนี้สามารถจูงใจนักท่องเที่ยวให้มาท่องเที่ยวจังหวัดนครศรีธรรมราชมากยิ่งขึ้น

การชิงเปรต

การชิงเปรต

การชิงเปรตเสร็จจากการฉลองหมรับและถวายภัตตาหารแล้วก็นิยมนำขนมอีกส่วนหนึ่งไปวางไว้ตามบริเวณลานวัด โคนไม้ใหญ่ หรือ กำแพงวัด เรียกว่า ตั้งเปรตเป็นการแผ่ส่วนกุศลให้เป็นสาธารณะทานแก่ผู้ล่วงลับที่ไม่มีญาติหรือญาติไม่ได้มาร่วมทำบุญให้ บางวัดนิยมสร้างร้านขึ้นเพื่อสะดวกแก่ตั้งเปรตเสร็จแล้ว ช่วงนี้เป็นช่วงที่เรียกว่า ชิงเปรต” ทั้งผู้ใหญ่และเด็กจะวิ่งกันเข้าไปแย่งขนมกันอย่างคึกคัก เพราะความเชื่อว่าของที่เหลือจากการเซ่นไหว้บรรพบุรุษ ถ้าใครได้ไปกินก็จะได้กุศลแรง เป็นสิริมงคลแก่ตนเองและครอบครัว

ภาพโดยรวม







งานเทศกาลบุญสารทเดือนสิบ คือการที่ลูกหลานชาวนครศรีธรรมราช เดินทางกลับบ้านเกิดเพื่อร่วมทำบุญครั้งใหญ่ที่สุดในรอบปี.

วันพฤหัสบดีที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

วันมาฆบูชา

วันมาฆบูชา 

วันมาฆบูชา ตรงกับวันขึ้น ๑๕ ค่ำ กลางเดือน ๓ หรือประมาณราวเดือนกุมภาพันธ์ แต่หากเป็นปีอธิกมาส (ปีที่มีเดือน ๘ สองหน) วันมาฆบูชาจะเลื่อนไปเป็น วันขึ้น ๑๕ ค่ำกลางเดือน ๔ หรือประมาณเดือนมีนาคม

          วันมาฆบูชา ย่อมาจากคำว่า "มาฆปุรณมีบูชา" แปลว่า การบูชาพระในวันเพ็ญเดือน ๓ ถือเป็น "วันจาตุรงคสันนิบาต" แปลว่า การประชุมอันประกอบด้วยองค์ ๔ ซึ่งเป็นเหตุการณ์อัศจรรย์เกิดขึ้นพร้อมกันในสมัยพุทธกาล คือ

          ๑. พระสงฆ์จำนวน ๑,๒๕๐ รูป ซึ่งจาริกไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาในสถานที่จ่างๆ เดินทางมาเฝ้าพระพุทธเจ้า ณ เวฬุวันมหาวิหาร กรุงราชคฤห์ แคว้นมคธ
          ๒. พระสงฆ์จำนวน ๑,๒๕๐ รูปเหล่านี้ ล้วนเป็นพระอรหันต์ และได้รับการบวชจากพระพุทธเจ้าโดยตรง ด้วยวิธีเอหิภิกขุอุปสัมปทา
          ๓. พระสงฆ์จำนวน ๑,๒๕๐ รูป ต่างมาประชุมพร้อมเพรียงกันโดยมิได้มีการนัดหมาย
          ๔. วันที่มาประชุม ตรงกับวันเพ็ญเดือนมาฆะ (วันเพ็ญกลางเดือน ๓) เป็นวันที่พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงธรรมเทศนา อันเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา คือ โอวาทปาติโมกข์

          โอวาทปาติโมกข์ คือ ข้อธรรมย่ออันเป็นหลักหรือหัวใจสำคัญของพระพุทธศาสนา ๓ ประการ ได้แก่

๑. ไม่ทำความชั่วทั้งปวง เว้นจากความชั่วด้วยกาย วาจา ใจ
๒. ทำความดีให้ถึงพร้อม ด้วยกาย วาจา ใจ

๓. ทำจิตใจให้หมดจดบริสุทธิ์ผ่องใส

ประวัติการประกอบพิธีมาฆบูชา

          การมาฆบูชานี้ แต่เดิมก็ไม่ได้เคยทำมา พึ่งเกิดขึ้นเมื่อแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงตามแบบโบราณบัณฑิตนิยมไว้ว่า วันมาฆบุรณมีพระจันทร์เสวยฤกษ์มาฆะเต็มบริบูรณ์ เป็นวันที่พระอรหันต์พุทธสาวก ๑,๒๕๐ ได้ประชุมกันพร้อมด้วยองค์สี่ประการ เรียกว่าจาตุรงคสันนิบาต พระพุทธเจ้าได้ตรัสเทศนาโอวาทปาติโมกข์ในที่ประชุมสงฆ์ เป็นการประชุมใหญ่และเป็นการอัศจรรย์ในพระพุทธศาสนา นักปราชญ์จึงได้ถือเอาเหตุนั้นกอบการสักการบูชาพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ ๑,๒๕๐ พระองค์นั้น ให้เป็นที่ตั้งแห่งความเลื่อมใสและสังเวช

          การพระราชกุศลนั้น เวลาเช้าพระสงฆ์วัดบวรนิเวศน์และวัดราชประดิษฐ์ ๓๐ รูป ฉันในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม เวลาค่ำเสด็จออกทรงจุดธูปเทียนเครื่องนมัสการแล้ว พระสงฆ์สวดทำวัตรเย็นเหมือนอย่างที่วัดแล้ว จึงได้สวดมนต์ต่อไปมีสวดคาถาโอวาทปาติโมกข์ด้วย สวดมนต์จบทรงจุดเมียนรายตามราวรอบพระอุโบสถ ๑,๒๕๐ เล่ม มีประโคมด้วยอีกครั้งหนึ่ง แล้วจึงได้มีเทศนาโอวาทปาติโมกข์กัณฑ์ ๑ เป็นเทศนาทั้งภาษามคธและภาษาสยาม เครื่องกัณฑ์จีวรเนื้อดีผืนหนึ่ง เงิน ๓ ตำลึงและขนมต่างๆ เทศน์จบพระสงฆ์ซึ่งสวดมนต์รับสัพพีทั้ง ๓๐ รูป

          การมาฆบูชานี้เป็นดือนสามบ้าง เดือนสี่บ้าง ตามวิธีปักษคณนาฝ่ายธรรมยุติกนิกาย แต่คงอยู่ในดือนสามโดยมาก พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จออกทุกปีมิได้ขาด แต่ในแผ่นดินปัจจุบันนี้ (หมายถึงสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว) เสด็จออกบ้างไม่ได้ออกบ้าง เพราะมักจะเป็นเวลาประสบกับที่เสด็จประพาสหัวเมืองบ่อยๆ ถ้าถูดคราวเส็จพระราชดำเนินไปประพาสบางประอินหรือพระพุทธบาท พระพุทธฉาย พระปฐมเจดีย์ พระแท่นดงรัง ก็ทรงทำมาฆบูชาในสถานที่นั้นๆขึ้นอีกส่วนหนึ่งต่างหากนอกจากใพระบรมมหาราชวังฯ


การประกอบพิธีเวียนเทียน ในวันมาฆบูชา
          การประกอบพิธีในวันสำคัญนี้ แบ่งออกเป็น ๓ อย่าง คือ
๑. พิธีหลวง (หรือพระราชพิธี)
๒. พิธีราษฎร์
๓. พิธีสงฆ์

การประกอบพระราชพิธี
          สำนักพระราชวัง จะมีหมายกำหนดการพระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศล ในวันมาฆบูชา ออกประกาศให้ทราบโดยทั่วกันทุกปี โดยปกติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะเสด็จไปบำเพ็ญพระราชกุศลด้วยพระองค์เอง ที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม (วัดพระแก้ว) แต่บางปีจะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ผู้แทนพระองค์ไปปฏิบัติพระราชกรณียกิจแทน

การประกอบพิธีเวียนเทียนในวันมาฆบูชา สำหรับประชาชนทั่วไป
          หากเป็นสถานศึกษา ครูอาจารย์จะนำนักเรียนไปประกอบพิธีในวันมาฆบูชาที่วัด โดยบอกกำหนดนัดหมายที่แน่นอน รวมทั้งบอกวัดที่จะไปทำพิธี นักเรียนทุกคนจะต้องแต่งกายให้สุภาพเรียบร้อย นำดอกไม้ธูปเทียน ไปยังสถนที่นัดหมาย ส่วนใหญ่จะจัดพิธีในตอนบ่าย หรือตอนเย็น
          สำหรับประชาชนทั่วไป จะจัดเตรียมเครื่องสักการะ เช่น ดอกไม้ ธูป เทียน ไปพร้อมกันที่วัด ในเวลาเย็นหรือค่ำ เพื่อประกอบพิธีมาฆบูชา การประกอบพิธีส่วนใหญ่ จะกระทำกันที่โบสถ์ เพราะหลังจากฟังโอวาทและสวดมนต์เสร็จแล้ว จะทำการเวียนเทียนรอบโบสถ์

พิธีสงฆ์
          ในวันมาฆบูชา พระสงฆ์จะเป็นผู้นำในการประกอบพิธี มีการให้โอวาท สวดมนต์ และนำในการเวียนเทียน มีการแสดงพระธรรมเทศนาเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของวันมาฆบูชา มีการนั่งสมาธิเจริญภาวนา ซึ่งการปฏิบัติดังกล่าวสุดแต่เห็นสมควร

ข้อปฏิบัติสำหรับชาวพุทธในวันมาฆบูชา ที่ควรทราบมีดังนี้

          ๑. จัดเตรียมเครื่องสักการะ เช่น ดอกไม้ ธูป เทียน มาพร้อมกันที่วัด ตามเวลานัดหมาย เพื่อฟังโอวาทหรือพระธรรมเทศนา และเวียนเทียน
          ๒. ก่อนออกจากบ้าน ควรอาบน้ำชำระร่างกายให้สะอาด ทำจิตใจให้บริสุทธิ์ผ่องใส และแต่งกายให้สุภาพเรียบร้อย
          ๓. เมื่อถึงวัดแล้ว ควรอยู่ในอาการสำรวม ไม่พูดคุยหยอกล้อ วิ่งเล่น หรือกระทำภารกิจอื่นอันไม่ควร เช่น เคาะระฆังเล่น จุดดอกไม้ไฟ ฯลฯ
          ๔. เมื่อถึงเวลาประกอบพิธี ให้ทุกคนไปเข้าแถวหรือเข้าไปในสถานที่กำหนดโดยพร้อมเพรียงกัน
          ๔. ก่อนเริ่มพิธีเวียนเทียน พระสงฆ์ผู้เป็นประธาน จะกล่าวให้โอวาท ทุกคนต้องพนมมือถือดอกไม้ธูปเทียนตั้งใจฟังด้วยความสงบ กล่าวคำสาธุ เมื่อพระสงฆ์ให้โอวาทจบ
          ๖. ในพิธีสวดมนต์ จะมีผู้กล่าวนำคำบูชาเนื่องในวันมาฆบูชา และคำบูชาพระรัตนตรัย ให้ทุกคนจุดธูปเทียนประนมมือ กล่าวตามด้วยความเคารพ มีจิตใจยึดมั่น

บทสวดมนต์ในการทำพิธีวันมาฆบูชา มีดังนี้
๑. บทสวดมนต์ไหว้พระบูชาพระรัตนตรัย (บทอรหัง สัมมา ฯ)
๒. บทสวดนมัสการนอบน้อมบูชาพระพุทธเจ้า (บทนะโมฯ ๓ จบ)
๓. บทสวดสรรเสริญพระพุทธคุณ (บทอิติปิโส ฯ)
๔. บทสวดสรรเสริญพระพุทธคุณ สวดทำนองสรภัญญะ (บทองค์ใดพระสัมพุทธ ฯ)
๕. บทสวดสรรเสริญพระธรรมคุณ (บทสวากขาโต ฯ)
๖. บทสวดสรรเสริญพระธรรมคุณ สวดทำนองสรภัญญะ (บทธรรมมะคือ คุณากร ฯ)
๗. บทสวดสรรเสริญพระสงฆคุณ (บทสุปฏิปันโน ฯ)
๘. บทสวดสรรเสริญพระสงฆคุณ สวดทำนองสรภัญญะ (สงฆ์ใดสาวกศาสดา ฯ)
๙. บทสวดพุทธมังคลชยสิทธิคาถา (บทพาหุง ฯ)
๑๐. คำแปลบทสวดพุทธมังคลชยสิทธิคาถา สวดทำนองสรภัญญะ (ปางเมื่อพระองค์ ฯ)
๑๑. บทสวดบูชาเนื่องในวันมาฆบูชา (อัชชายัง ฯลฯ)
๑๒. คาถาสวดมาฆบูชา
          สำหรับบทสวดในข้อที่ ๑๑ และ ๑๒ นั้น ค่อนข้างยาว เวลาทำพิธีจะมีผู้กล่าวนำ หากสนใจรายละเอียดให้ดูในหนังสือมนต์พิธี (หนังสือคู่มือสำหรับสวดมนต์ของพระ)
          หลังจากสวดมนต์เสร็จ ประธานในพิธีจะนำเวียนเทียน โดยเริ่มจากพระสงฆ์ สามเณร อุบาสก อุบาสิกา ตลอดจนนักเรียนนักศึกษา และประชาชนทั่วไป หากครูอาจารย์พานักเรียนมาเป็นหมู่คณะในตอนบ่าย ก็จะให้มีการเวียนเทียนกันก่อน
          ในการเดินเวียนเทียนรอบโบสถ์ จะกระทำ ๓ รอบ โดยเวียนไปทางขวา เรียกว่า เวียนแบบทักขิณาวัฏ
          ในรอบที่ ๑ ให้รำลึกถึงคุณพระพุทธเจ้า โดยภาวนาคาถา บทอิติปิโส ภควาฯ ไปจนจบ เพื่อให้จิตใจมีสมาธิ
          ในรอบที่ ๒ ให้รำลึกถึงคุณพระธรรม โดยภาวนาคาถา บทสวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโมฯ ไปจนจบ
          ในรอบที่ ๓ ให้รำลึกถึงคุณพระสงฆ์ โดยภาวนาคาถา บทสุปฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆฯ ไปจนจบ
          ๗. ในการเดินเวียนเทียน ต้องทำจิตใจให้มีสมาธิ สงบ และแน่วแน่อยู่กับบทบูชาพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ และพระสังฆคุณ ไม่ควรส่งเสียงพูดคุยหรือเดินแซงผู้ที่เดินอยู่ข้างหน้า
          ๘. เมื่อเวียนเทียนครบ ๓ รอบแล้ว ให้นำดอกไม้ ธูป เทียน ไปวางไว้ในจุดกำหนด เพื่อสะดวกแก่การเก็บทำความสะอาด
          ๙. หลังจากเสร็จพิธีเวียนเทียนแล้ว ควรช่วยกันเก็บกวาดทำความสะอาดบริเวณโบสถ์ให้เรียบร้อย แล้วแยกย้ายกันกลับบ้านด้วยความสงบอิ่มเอมใจ หรืออยู่ร่วมพิธีอื่นๆ ที่ทางวัดจัดให้มีขึ้นอีกส่วนหนึ่งต่างหากนอกจากในพระบรมมหาราชวังฯ

วันพุธที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

Happy Valentine’s Day

เดือนแห่งความรัก เทศกาลวันวาเลนไทน์ Valentine’s Day


    วันวาเลนไทน์ เดือนกุมภาพันธ์ เป็นเดือนที่อบอวลไปด้วยการแสดงถึงความรัก ความห่วงใยถึงคนที่เราปรารถนาดีและอยากให้เขามีความสุข และเป็นที่รับรู้กันทั่วโลก ว่าวันที่ 14 กุมภาพันธ์ เป็นวันแห่งความรักหรือวันวาเลนไทน์ (Valentine’s Day) อันว่าความรักนั้น เป็นสิ่งที่อยู่คู่กับมนุษย์มาช้านาน และมนุษย์ทุกคนล้วนมีความรักอยู่ภายในใจมากหรือน้อยแตกต่างกันไป



อารมณ์รัก ความรักในวันวาเลนไทน์
       อารมณ์รัก ศัพท์ทางบาลีใช้คำว่า สิเน่หา แปลเป็นไทยว่าเสน่ห์ๆ บาลีสิเน่หา ถ้าใจเกาะอารมณ์นี้เมื่อไหร่ มันจะคล้ายๆ ลิงติดตัง เราเคยรู้จักลิงติดตัง ถ้าคนสมัยก่อนจะนึกออกนะ เวลาเขาจะจับลิงป่า เขาจะเอาตังคือน้ำมันเคี่ยวจนข้นเหนียวๆ ยางไม้ จนเหนียว เหมือนกับกาวเหนียว แล้วก็ไปวางเอาไว้ โดยลิงมันจะชอบเลียนแบบคน มันจะแอบดูว่าคนทำยังไง เขาก็จะวางไว้เสร็จเรียบร้อยก็จะทำเป็นเอามือไปจับๆ แตะๆ แล้วเดี๋ยวซักพักคนก็เดินไป พอคนเดินไป ลิงมันเหลียวซ้ายแลขวาไม่เห็นคนแล้วมันจะเริ่มไต่ต้นไม้ลงมา ต้นมะพร้าวลงมาถึงมันก็มาลองแตะดู พอมันแตะมือก็ติดดึงไม่ออก มันก็เอามืออีกมือหนึ่งมายัน เพื่อ จะยันดึงมือแรกออก แต่กลับติดทั้งสองมือ เอาขาช่วยอีกขามาช่วยยันขาที่ 3 อยู่อีก เอาขาที่ 4 มายัน 4 ขาอยู่หมดเลยเอาหัวไปดัน ปรากฏว่าทั้ง 2 แขน 2 ขาและ 2 มือ 2 เท้า แล้วก็หัวติดจุกอยู่ตรงนั้นเอง ชาวบ้านก็ออกมาจับหิ้วไป ใส่ปลอกคอไปล่ามโซ่เป็นลิงเลี้ยงสบายไปเลย นี่แหละคือลิงติดตัง อารมณ์ของใจเหมือนกัน ปกติใจคนเรามันจะเพลิดเพลินในอารมณ์ต่างๆ เดี๋ยวคิดถึงเรื่องนั้นเรื่องนี้เปลี่ยนไปเรื่อยๆนี่ใช่ไหม แต่พอเจออารมณ์รักเมื่อไหร่ ไปถามหนุ่มถามสาวดูจะรู้ดีเดียวกลายเป็นลิงติดตัง หลับตาลืมตาฝ่ายหนุ่มเห็นแต่หน้าสาวลอยมา ฝ่ายสาวเห็นแต่หน้าหนุ่มลอยมาคิดเรื่องอื่นไม่ออกแล้วดูไปที่ไหนก็เห็นแต่หน้าเขาลอยมาใจมันหมกหม่น วนอยู่กับอารมณ์ สิเน่หา แปลว่า ยางเหนียว ให้เรารู้กันว่าเรื่องความรักอารมณ์ สิเน่หาไม่ธรรมดา เพราะฉะนั้นเราเองระวังว่า อย่าให้เป็นลิงติดตังเสร็จแล้วก็ถูกจูงไปในทางที่ไม่ดีได้ก็แล้วกัน - ข้อคิดดี - ดี เรื่องความรักในวันวาเลนไทน์


                 ตัวแรก น่าจะหมายถึง  Lake  of  sorrow   ทะเลสาบแห่งความเศร้าโศก

O ตัวที่สอง  น่าจะหมายถึง Ocean  of  tear   ห้วงทะเลแห่งน้ำตา

V ตัวที่สาม  น่าจะหมายถึง  Vagen  of  death   หุบเขาแห่งความตาย

E ตัวที่สี่  น่าจะหมายถึง  End  of  life  จุดจบของชีวิต


     ถ้าหากความรักมีความหมายตามแบบการผสมอักษรดัง 4 ตัวข้างต้นนั้น ความรักจะเป็นสิ่งสวยงามได้จริงหรือ เพราะความหมายของคำว่า LOVE นั้นก็บอกอยู่ว่ามันไม่ได้เป็นสิ่งสวยงามเลยซักเท่าใด แต่ในทางพระพุทธศาสนาแล้วมีหลักคำสอนที่สำคัญประการหนึ่งเกี๋ยวกับความรัก นั้นคือหลักความเมตตา หรือความรักความปรารถนาดีต่อคนอื่น หรือในความหมายที่กว้างออกไป คือความรักที่มีต่อมนุษย์ด้วยกัน ตลอดถึงสรรพสัตว์ที่เป็นเพื่อนทุกข์  เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น  ในทางพระพุทธศาสนาได้กล่าวถึงการเกิดของความรักไว้หลายนัยด้วยกัน แต่ในที่นี้ขอนำมากล่าวเพียง 2 ประการ คือ

     1.  ปุพเพสันนิวาส  การอยู่ร่วมกันในอดีตชาติ คือการที่เคยอยู่ร่วมกันมา เคยคบหาสนิทสนมชอบพออัธยาศัยกันมา หรือเคยเลี้ยงดูกันมา เคยทำบุญเกื้อหนุนกัน เมื่อมาพบกันในชาตินี้ แม้ในคราวแรกพบก็เกิดความนิยมชมชอบรู้สึกสนิทสนมคุ้นเคยอย่างรวดเร็ว หรือที่เรียกว่า "รักแรกพบ" นั้นเอง โดยที่หาสาเหตุไม่ได้ว่าทำไมจึงนิยมชมชอบบุคคลผู้นั้นอย่างจริงๆ จังๆ  ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้พบเห็น

    2. การช่วยเหลือเกื้อกูลกันในชาติปัจจุบัน เป็นเหตุผลที่ชัดเจนอยู่ในตัว คือการเกื้อกูลกันในปัจจุบันนั้นคือทำให้เกิดความสนิทสนมรักใคร่ไว้วางใจใน ฐานะเป็นกัลยาณมิตร คือการแสดงออกในรูปของการอุปการะร่วมสุขร่วมทุกข์แนะนำประโยชน์ และมีความรักใคร่ เห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน จึงเกิดความรัก ความเมตตาต่อกันขึ้น




ใคร หลายคนห่วงใย
ความรักทางไกล...อาจเป็นไปแค่ฝุ่นฝัน
ณ เวลานี้ เราได้พิสูจน์หัวใจของกันและกัน
ระยะทางไม่เคยบั่นทอนความเชื่อมั่นที่ เรามี ......

วันพุธที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2557

สุดยอด 10 อันดับ เมืองในฝันของชายโสด

สุดยอด 10 อันดับ เมืองในฝันของชายโสด
มาแนะนำเมืองในฝันของท่านชายโสดทั้งหลาย


อันดับ 10 Helsinki
            เมืองหลวงของฟินแลนด์แห่งนี้เต็มไปด้วยวัฒนธรรม มีชีวิตชีวา มีแต่คนวัยหนุ่มสาวที่แสวงหาการศึกษา การจ้างงาน และการผจญภัย แถมยังมีสถาปัตยกรรมทันสมัยที่ได้รับการขนานนามว่าเป็น the World Design Capital สำหรับปี 2012 อีกทั้งยังเป็นเมืองหลวงที่ผสมผสานทั้งความใหม่และเก่าของเมือง และที่สำคัญมีผู้หญิงเยอะที่สุดในประเทศ

อันดับ 9 New York City
             เมืองที่ไม่หลับใหลและผสมผสานคนจากทุกๆ เผ่าพันธุ์และเชื้อชาติ มีทั้งสถาปัตยกรรม พิพิธภัณฑ์และอาร์ต แกลอรี่ให้เลือกชม แถมยังมีวัฒนธรรมผสมในแบบฉบับของตัวเอง เมืองนี้ยังมีคนอาศัยอยู่เยอะ ที่สำคัญผู้หญิงที่นี่เป็นลักษณะประเภทคบใครแบบไม่ผูกมัด

อันดับ 8 Rome
            เมืองอมตะแห่งนี้ ผสมผสานระหว่างเมืองแห่งศาสนากับเมืองแห่งความทันสมัย โรมเป็นสัญลักษณ์ของทั้งความวุ่นวาย ความโหดร้าย ความยิ่งใหญ่ มีสิ่งก่อสร้างใหญ่โตมากมายที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์และความอลังการงาน สร้าง แน่นอนว่าที่นี่มีผู้หญิงมาเที่ยวเยอะมาก

อันดับ 7 Montreal
            ที่นี่คือดินแดนใหม่ หรือโลกใหม่ในสมัยยุคล่าอาณานิคม ผู้คนพูดภาษาฝรั่งเศส ซึ่งเป็นภาษาที่ฟังดูงดงาม นอกจากนี้ยังได้รับการยกย่องจากยูเนสโกว่าเป็นเมืองที่มีการวางผังเมืองและ ออกแบบมาดีที่สุดในโลกเมืองหนึ่ง ผู้คนที่นั่นมีคุณภาพชีวิตที่ดีและมีผู้หญิงอาศัยอยู่เยอะ อีกทั้งยังเป็นเมืองที่น่าทึ่งที่มีทั้งท่าเรือเก่า ดาวน์ทาวน์ที่ทันสมัย ตึกสูงเสียดฟ้าที่มองลงมาก็จะเห็น Mount Royal Park ซึ่งเป็นสวนสาธารณะที่ออกแบบโดยบุคคลคนเดียวกับที่ออกแบบ Central Park ในมหานครนิวยอร์ค

อันดับ 6 Tallinn
            เมืองหลวงของ Estonia ชาติเล็กๆ แต่มีอะไรให้ชาวพื้นเมืองน่าภาคภูมิใจมากมาย ที่สำคัญเมืองนี้เพิ่งได้รับขนานนามว่าเป็น Europe's 2011 Capital of Culture และแม้ว่าจะเป็นเมืองเล็กที่มีประชากรไม่ถึงห้าแสนคน แต่ที่นี่ก็มีแหล่งท่องเที่ยวที่เป็นมรดกโลกหลายแห่ง แถมยังเป็นเมืองดิจิตอลแห่งหนึ่งของโลกด้วย สาวๆ วัยรุ่นจึงชอบมาอาศัยอยู่ที่นี่

อันดับ 5 Miami
            การจัดอันดับนี้จะไม่ครอบคลุมเลยหากตกหล่นไมอามี่ไป ที่นี่อากาศดีและผู้คนจัดงานเลี้ยงสังสรรค์ตลอดเวลา สาวสวยก็เต็มชายหาด แม้ว่าจะเป็นเมืองที่ไม่มีแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์หรือวัฒนธรรม แต่สถานที่แห่งนี้ก็มีเสน่ห์ในตัวเอง ถ้าเปรียบว่าไมอามี่คือผู้หญิง ก็คงเป็นผู้หญิงที่เผ็ดร้อนพร้อมกระโดดงับคุณได้ทุกเมื่อ

อันดับ 4 Stockholm
            เมืองนี้เป็นเมืองที่นิยมที่สุดในแถบสแกนดิเนเวีย เป็นศูนย์กลางของประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของประเทศสวีเดน เป็นเมืองสีเขียวประหยัดพลังงาน และยังมีระบบการศึกษาที่ดีเยี่ยม ที่สำคัญสาวสวีเดนที่โดยมากรูปร่างดีมักชอบย้ายมาอยู่ที่นี่กันทั้งนั้น

อันดับ 3 Moscow
             เมืองใหญ่ที่สุดของรัสเซียและมีมหาเศรษฐีอยู่มากที่สุดในโลกตามรายงานของ นิตยสารฟอร์บส์ อีกทั้งยังมีมรดกทางวัฒนธรรมที่มีชื่อเสียงระดับโลก การผสมผสานระหว่างความมั่งคั่งและสังคมที่เต็มไปด้วยวัฒนธรรมจึงดึงดูดคนที่ แสวงหาโชคทั้งหลายให้ย้ายเข้าไปอยู่ที่มอสโคว

อันดับ 2 Hong Kong
            แม้ว่าอังกฤษจะคืนฮ่องกงให้กับจีนไปแล้วหลายปี แต่ที่นียังคงเป็นเหมือนทางผ่านไปสู่อังกฤษ เกาะเล็กๆ แห่งนี้มีความสำคัญทางเศรษฐกิจมาก มีตึกระฟ้ามากมาย แสงไฟระยิบระยับเต็มไปหมดในเวลากลางคืนเป็นเมืองที่ผสมผสานกลมกลืนระหว่างโลกตะวันตกและตะวันออก ผู้คนทำงานอย่างเอาจริงเอาจัง แต่ก็นิยมสังสรรค์เยอะแบบไม่แพ้กัน

อันดับ 1 Bangkok
             เมืองแห่งโลกตะวันออกที่เปิดรับโลกตะวันตกได้มากเมืองนี้เป็นเมืองที่คนไทย รู้จักกันดีเยี่ยมถึงแม้ว่าการจราจรติดขัดของกรุงเทพมหานครจะเป็นที่โจษจันจนทำให้การจราจรใน นิวยอร์คดูดีขึ้นมา เมืองหลวงของบ้านเราถือว่าดึงดูดนักท่องเที่ยวได้มากมายจากทุกสารทิศทั่วโลก อีกทั้งเป็นศูนย์กลางการศึกษาของประเทศ มีผู้คนหลายประเภทอาศัยอยู่ ความมีชีวิตชีวาของเมืองก็ไม่แพ้ใคร เรียกได้ว่าเที่ยวกรุงเทพฯ ไม่ผิดหวังแน่นอนใกล้ตัวขนาดนี้ หนุ่มไทยไม่ควรมองข้ามสาวไทยเป็นอันขาด

วันจันทร์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2557

ศิลปินแห่งชาติ

" ชาลี อินทรวิจิตร " 





          เป็นผู้ประพันธ์คำร้อง ผู้กำกับภาพยนตร์   ได้รับยกย่องเป็นศิลปินแห่งชาติ 
สาขาศิลปะการแสดง (ผู้ประพันธ์คำร้อง-ผู้กำกับภาพยนตร์) ประจำปีพุทธศักราช 2536 

ผลงานประพันธ์  คำร้องเพลงที่มีชื่อเสียง ได้แก่ สดุดีมหาราชา, แสนแสบ, ท่าฉลอม, สาวนครชัยศรี, ทุ่งรวงทอง, มนต์รักดอกคำใต้, แม่กลอง, เรือนแพ, จำเลยรัก ฯลฯ

          เดิมชื่อ สง่า อินทรวิจิตร

 เกิดเมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2466 ที่จังหวัดสมุทรสาคร 

จบการศึกษาจากโรงเรียนอำนวยศิลป์ และโรงเรียนวิศวกรรมรถไฟรุ่นแรก 

มีผลงานประพันธ์คำร้องเพลงเกือบ 1,000 เพลง

มีผลงานการแสดง


-  จอมใจเวียงฟ้า (2505) 

-  ไอ้ฝาง ร.ฟ.ท.(2525)

กำกับภาพยนตร์อีกจำนวนมาก 

-  ปราสาททราย (2512) 

-  กิ่งแก้ว (2513) 

-  สื่อกามเทพ  (2514) 


ด้านครอบครัว

         สมรสกับนักแสดงหญิง ศรินทิพย์ ศิริวรรณ แต่หายไประหว่างการถ่ายทำเรื่อง อีจู้กู้ปู่ป้า ของ กำธร ทัพคัลไลย เมื่อ วันที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2530 จนถึงปัจจุบันยังไม่พบตัว ภายหลังเหตุการณ์นั้น ชาลี ได้แต่งเพลงเพื่อระลึกถึง โดยใช้ทำนองเพลง Aubrey ของเดวิด เกตส์แห่งวงเบรด (Bread) ใช้ชื่อเพลงว่า เมื่อเธอจากฉันไป ขับร้องโดย พรพิมล ธรรมสาร ต่อมานำมาขับร้องใหม่โดย อรวี สัจจานนท์


รางวัลพระราชทานพระสุรัสวดี

เพลงประกอบยอดเยี่ยม  พ.ศ. 2507  ลูกทาส 

นักแสดงประกอบยอดเยี่ยมชาย  พ.ศ.  2527   คาดเชือก